paradigm & anthem ) Latest update 167 (3)

5 ปัญหาใหญ่ในการผลิตชิ้นงานโลหะ และแนวทางป้องกัน

การผลิตชิ้นงานโลหะไม่ว่าจะเป็นเหล็ก อะลูมิเนียม หรือสแตนเลส ล้วนต้องอาศัยความแม่นยำ ความชำนาญ และกระบวนการที่ได้มาตรฐาน เพราะแม้เพียงความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ก็อาจส่งผลต่อคุณภาพ ความแข็งแรง หรือแม้แต่ความปลอดภัยของชิ้นงานได้ ในบทความนี้

เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “5 ปัญหาหลักที่มักเกิดขึ้นในการผลิตชิ้นงานโลหะ พร้อมแนวทางป้องกันที่ได้ผลจริง”

เพราะการมองเห็นปัญหาให้ครบทุกมิติ และเตรียมพร้อมรับมือ คือหัวใจของโรงงานที่มีมาตรฐานระดับมืออาชีพ

  1. ขนาดไม่ตรงแบบ หรือชิ้นงานเบี้ยว

สาเหตุ:

  • วัสดุโลหะ เช่น สแตนเลส หรืออะลูมิเนียม มีคุณสมบัติขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน หากไม่ควบคุมอุณหภูมิระหว่างการเชื่อมหรือพับ อาจทำให้ขนาดคลาดเคลื่อนได้หลายมิลลิเมตร
  • การเลือกเครื่องมือที่ไม่เหมาะกับความหนาของโลหะ อาจส่งผลต่อมุมการพับที่ผิดไปจากแบบ

ผลกระทบ:

  • ชิ้นงานที่เบี้ยวหนึ่งชิ้น อาจทำให้ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในชุดไม่สามารถประกอบกันได้
  • ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ หรือก่อสร้าง อาจปฏิเสธรับงานทันทีหากขนาดคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย

แนวทางการป้องกัน:

  • ใช้เครื่อง CNC รุ่นใหม่ที่มีระบบ feedback loop ควบคุมความคลาดเคลื่อนได้ในระดับ 0.01 mm
  • ออกแบบงานโดยเผื่อค่าความผิดพลาดจากความร้อน (thermal distortion) ผ่านการใช้ซอฟต์แวร์ CAD/CAE
  • นำระบบ SPC (Statistical Process Control) มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลขนาดของชิ้นงานในแต่ละล็อต เพื่อหาจุดผิดปกติ
  1. รอยเชื่อมไม่แน่น / ไม่เรียบร้อย

สาเหตุ:

  • อุณหภูมิระหว่างการเชื่อมไม่สม่ำเสมอ ความร้อนที่มากหรือน้อยเกินไปจะส่งผลให้รอยเชื่อมไม่ซึมลึก หรือเกิดความเปราะในจุดเชื่อม
  • ไม่ทำความสะอาดพื้นผิวก่อนการเชื่อม คราบน้ำมัน ฝุ่น หรือสนิม ทำให้ลวดเชื่อมไม่สามารถยึดเกาะกับพื้นผิวได้ดี ส่งผลให้รอยเชื่อมหลุดง่าย
  • เลือกชนิดลวดเชื่อมไม่ตรงกับวัสดุที่ใช้ หากใช้ลวดเชื่อมที่ไม่เข้ากับโลหะ จะเกิดการไม่ยึดติด หรืออาจทำให้เกิดการกัดกร่อนในระยะยาว
  • ช่างเชื่อมขาดประสบการณ์ หรือไม่มีการควบคุมคุณภาพ เช่น ความเร็วมือไม่สม่ำเสมอ มุมหัวเชื่อมไม่เหมาะสม หรือไม่มีการตรวจสอบหลังเชื่อม
  • ไม่มีการควบคุมการไหลของแก๊สป้องกัน ในการเชื่อมแบบ MIG/TIG การไหลของแก๊สต้องคงที่ตลอดเวลา หากไม่สมดุลจะทำให้เกิดรูพรุนหรือออกซิเดชัน

ผลกระทบ:

  • ลดความแข็งแรงของโครงสร้างโดยรวม หากรอยเชื่อมไม่ซึมลึก หรือมีรูพรุน อาจทำให้จุดเชื่อมเป็นตำแหน่งที่เปราะที่สุดของชิ้นงาน เสี่ยงต่อการแตกหักภายใต้แรงกระแทกหรือแรงดึง
  • เกิดอุบัติเหตุจากการใช้งาน ในงานที่ใช้รองรับน้ำหนัก เช่น โครงเหล็ก แร็ค หรือกรอบโครงสร้างอาคาร หากรอยเชื่อมล้มเหลวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
  • ทำให้สินค้าดูไม่เรียบร้อย สูญเสียภาพลักษณ์ รอยเชื่อมขรุขระ รอยไหม้ หรือรอยแตก ทำให้ชิ้นงานดูเหมือนผ่านกระบวนการที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์
  • ถูกปฏิเสธจากฝ่าย QC หรือลูกค้า ลูกค้าในสายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือก่อสร้าง มักมีมาตรฐานที่เข้มงวด รอยเชื่อมที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอาจทำให้ทั้งล็อตถูกตีกลับ
  • ต้องเสียเวลาในการแก้ไขหรือผลิตใหม่ หากพบปัญหาในภายหลัง อาจต้องตัดชิ้นงานออก เปลี่ยนชิ้นส่วน หรือเริ่มผลิตใหม่ทั้งหมด ส่งผลต่อต้นทุนและกำหนดการส่งมอบ รวมถึงต้นทุนแรงงาน ค่าวัสดุ ค่าตรวจสอบและค่าเสียโอกาสจากการที่งานล่าช้า

แนวทางการป้องกัน:

  • เลือกเทคนิคการเชื่อมให้เหมาะกับชนิดของโลหะ ตัวอย่างเช่น TIG เหมาะกับสแตนเลสเพราะให้รอยเชื่อมเรียบและควบคุมได้ง่าย ส่วน MIG เหมาะกับงานอลูมิเนียมหรือเหล็กที่ต้องการความเร็ว
  • ควบคุมอุณหภูมิระหว่างการเชื่อมให้สม่ำเสมอ ใช้เครื่องเชื่อมที่มีระบบตั้งค่าความร้อนอัตโนมัติ พร้อมเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิที่จุดเชื่อม
  • ทำความสะอาดพื้นผิวก่อนเชื่อมทุกครั้ง ใช้น้ำยาล้างคราบน้ำมัน ล้างสนิม หรือพ่นทราย เพื่อให้ลวดเชื่อมยึดติดกับโลหะได้ดี
  • เลือกชนิดลวดเชื่อมให้ตรงกับวัสดุและลักษณะงาน อ้างอิงตารางจากผู้ผลิตวัสดุ หรือปรึกษาวิศวกรเชื่อม เพื่อหลีกเลี่ยงการกัดกร่อนหรือรอยแตกหลังเชื่อม
  • ใช้แก๊สป้องกันที่เหมาะสม และควบคุมการไหลให้คงที่ ตรวจสอบแรงดันแก๊สก่อนเริ่มงาน และใช้หัวจ่ายแก๊สที่มีคุณภาพ เพื่อป้องกันรูพรุนหรือออกซิเดชัน
  • ตรวจสอบความแม่นยำของอุปกรณ์เชื่อมเป็นประจำ สอบเทียบเครื่องเชื่อม (calibration) ทุก 3–6 เดือน เพื่อให้การจ่ายพลังงานและความร้อนอยู่ในระดับเหมาะสม
  • ช่างเชื่อมต้องผ่านการฝึกอบรมตามมาตราฐานสากล
  • ตรวจสอบรอยเชื่อมหลังผลิต ใช้การตรวจสอบแบบ NDT (Non-Destructive Testing) เช่น X-ray หรือ Dye Penetrant เพื่อมั่นใจว่ารอยเชื่อมแข็งแรงและไร้ตำหนิ
  1. สีหลุดลอก หรือพ่นไม่เรียบ มีจุดด่าง

สาเหตุ:

  • ห้องพ่นสีอาจมีความชื้นมากเกินไป ระบบพ่นสีฝุ่น (Powder Coating) ต้องควบคุมทั้งเรื่องไฟฟ้าสถิต ความละเอียดของผงสี และการอบที่อุณหภูมิที่เหมาะสม
  • ฝุ่นในห้องพ่นสี
  • เกิดจากสีคุณภาพต่ำ หรือไม่ได้มาตราฐาน

ผลกระทบ:

  • ชิ้นงานเสื่อมสภาพเร็ว โดยเฉพาะในงานกลางแจ้ง เช่น ป้ายจราจร รั้ว อาคาร
  • กรณีพื้นผิวไม่เรียบ หรือมีตำหนิจะถือว่าเป็นชิ้นงานที่ไม่ได้มาตรฐาน และไม่ผ่านในการตรวจสอบในงานอุตสาหกรรม อาจถูกปฏิเสธจากฝ่าย QC ของลูกค้า ทำให้เกิดความล่าช้าในการแก้ไข หรือแม้แต่การต้องผลิตซ้ำ ซึ่งเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น

 แนวทางการป้องกัน:

  • ระบุในแบบงานถึงชนิดสี รหัสสี และมาตรฐานการพ่น เช่น ASTM D3359 สำหรับการยึดเกาะของสี
  • ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในห้องพ่นให้คงที่ เช่น 25°C และ 45-55% RH
  • สุ่มทดสอบความทนสีโดยการ scratch test หรือ salt spray test
  • ห้องพ่นสีต้องมีระบบกรองอากาศ HEPA เพื่อป้องกันฝุ่นปะปนในสี
  1. ขอบคม / เศษโลหะหลงเหลือ

สาเหตุ:

  • กระบวนการตัดที่ไม่มีการลบคมต่อเนื่อง
    – หลังจากการตัดโลหะด้วยเครื่องจักร เช่น Laser Cut หรือ Shearing หากไม่มีขั้นตอน deburring หรือลบคมตามหลัง จะเกิดขอบแหลมคมโดยธรรมชาติของการตัด
  • เครื่องมือตัดสึกหรือไม่ได้สอบเทียบ
    – ใบมีดหรือหัวเจาะที่สึกจะทำให้เกิดการฉีกเนื้อโลหะแทนที่จะตัดเรียบ ส่งผลให้เกิดเศษและเสี้ยนเล็กๆ ติดตามขอบ
  • การพับโลหะโดยไม่ปรับ radius หรือแรงดันให้เหมาะสม
    – ถ้าพับโลหะแบบมุมฉากโดยไม่มีการรองมุมพับ จะเกิดขอบคมหรือรอยแตกบริเวณมุมพับทันที
  • เจาะรูหรือปั๊มโดยไม่มีระบบ ejector หรือการเคลียร์เศษ
    – งานเจาะหรือปั๊มโลหะมักจะเกิดเศษจากการเคาะออก หากไม่มีการถอดเศษโดยระบบอัตโนมัติ หรือไม่เก็บงานด้วยมือ จะทำให้เศษเหล่านั้นหลงเหลือ
  • ไม่ตรวจสอบหรือไม่เก็บงานหลังผลิต
    – ในสายการผลิตที่เร่งเวลา หากไม่มีจุดตรวจขอบชิ้นงานหรือพนักงาน QC ไม่ได้รับการฝึกเรื่องการลบคมอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ชิ้นงานออกสู่ลูกค้าโดยมีขอบคมติดอยู่
  • ใช้โลหะที่มีความแข็งสูงโดยไม่ปรับเทคนิคให้เหมาะสม
    – เช่น เหล็กเกรดแข็งหรือสแตนเลส ต้องใช้เทคนิคการตัดหรือเจียรเฉพาะ มิฉะนั้นจะเกิด burr (เศษเล็ก) ได้มากกว่าปกติ

ผลกระทบและความเสี่ยง:

  • ทำให้เกิดอุบัติเหตุกับพนักงาน หรือผู้ใช้ปลายทาง
  • ชิ้นงานตัดหรือพับที่ขอบคมและมีเศษโลหะอาจสร้างอันตรายในการใช้งาน โดยเฉพาะหากเป็นอุปกรณ์ที่ต้องสัมผัสบ่อย
  • ลูกค้าอาจเรียกร้องค่าเสียหายหรือคืนสินค้า
  • งานที่ต้องใช้มือประกอบ เช่น งานเฟอร์นิเจอร์โลหะ หากมีเศษหรือขอบบาดมือ ถือเป็นข้อบกพร่องใหญ่

แนวทางการควบคุม:

  • กำหนดขั้นตอนการลบคมอย่างชัดเจนในกระบวนการผลิต
    – รวมไว้ใน SOP (Standard Operating Procedure) หรือ WI (Work Instruction) เพื่อให้พนักงานทุกคนปฏิบัติตามอย่างเป็นระบบ
  • ใช้เครื่องลบคมอัตโนมัติในสายการผลิต
    – เช่น Rotary Deburring, Brush Deburring หรือเครื่อง CNC Deburring ที่ควบคุมแรงและทิศทางได้แม่นยำ
  • ลบคมด้วยทรายหรือเม็ดเหล็ก (Blasting)
    – ใช้ Air Blasting หรือ Shot Blasting เพื่อกำจัดเศษหรือคมในบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น ขอบใน รอยพับ หรือร่องลึก
  • ตรวจสอบสภาพเครื่องตัดและใบมีดอย่างสม่ำเสมอ
    – หมั่นสอบเทียบและเปลี่ยนใบมีดเมื่อสึกหรอ เพื่อให้การตัดเรียบและลดการเกิดเศษโดยไม่จำเป็น
  • ใช้เครื่องมือลบคมแบบมือสำหรับงานสั่งทำพิเศษ
    – เช่น ใบมีดลบคม เครื่องขัดขอบ หรือไฟล์เล็ก สำหรับงาน Custom ที่ต้องการความละเอียดสูง
  • เพิ่มจุดตรวจสอบขอบคมในระบบ QC ก่อนส่งมอบ
    – ตั้ง “Edge Check Point” เพื่อให้มั่นใจว่าชิ้นงานทุกชิ้นผ่านการตรวจสอบก่อนส่งถึงลูกค้า
  • ทดสอบการใช้งานจริงด้วยการสัมผัสหรือสวมถุงมือจับขอบชิ้นงาน
    – เพื่อจำลองว่าผู้ใช้งานจะพบเจอปัญหาอะไรและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากขอบคม
  • จัดทำรายงาน Feedback จากลูกค้าเกี่ยวกับขอบคม/เศษโลหะ
    – นำข้อมูลมาใช้ปรับปรุงกระบวนการ และตั้ง KPI ด้านความเรียบร้อยของชิ้นงาน
  • ใช้วัสดุหรือเทคนิคที่ลดการเกิด Burr ตั้งแต่ต้น
    – เช่น ใช้เครื่องตัดแบบ Water Jet หรือ Laser Cut ที่มี precision สูงและเกิดขอบคมน้อยกว่าการตัดด้วย Mechanical Tools
  1. การสื่อสารผิดพลาดระหว่างลูกค้าและโรงงาน

สาเหตุ:

  • การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน เช่น การส่งแบบผ่านไฟล์ภาพ JPG แทน CAD อาจทำให้เข้าใจผิดในมิติเชิงเทคนิค เช่น ความหนา ช่องว่าง หรือมุมโค้ง
  • การเปลี่ยนแปลงแบบโดยไม่ผ่านการอนุมัติอย่างเป็นทางการ สร้างความสับสนแก่ฝ่ายผลิต

ผลกระทบ:

  • งานผิดแบบคือการสูญเสียต้นทุนทันที เช่น วัสดุ เสียเวลา และโอกาสในการสร้างความเชื่อมั่น

แนวทางสร้างความเข้าใจร่วม:

  • ก่อนเริ่มผลิต ต้องมีแบบ CAD ที่ชัดเจน พร้อมระบุขนาดและวัสดุ สี และอื่นๆ ให้ชัดเจน
  • ต้องมีการยืนยันจากทางลูกค้าเรื่องแบบก่อนเริ่มผลิตเสมอ
  • ใช้ช่องทางสื่อสารที่รวดเร็ว และมีการคอนเฟิร์ม เช่น Facebook, LINE, Email, โทรศัพท์

ที่ GoldenDuck Steel เราให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกกระบวนการ

📈 ด้วยประสบการณ์ 20 มากกว่าปีของเรา คือข้อพิสูจน์

✅ เราไม่ได้มองงานโลหะเป็นเพียง “ชิ้นงาน” แต่เป็น “คำมั่นสัญญา” ที่เราส่งมอบให้ลูกค้าในทุกโปรเจกต์ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในอุตสาหกรรมการผลิตโลหะ—เราผ่านทั้งยุคเปลี่ยนเทคโนโลยี ความท้าทายทางวิศวกรรม และโจทย์จากลูกค้าทุกรูปแบบ

✅ เราเข้าใจทุกกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบ การพัฒนาแบบ CAD การเชื่อมและขึ้นรูป ไปจนถึงการ QC ขั้นสุดท้าย ทุกขั้นตอนเราควบคุมด้วยมาตรฐานระดับสูง พร้อมทีมงานที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง

✅ ไม่ว่าคุณจะมองหาชิ้นงานสำหรับงานโครงสร้าง งานตกแต่ง หรืองานอุตสาหกรรมหนัก เราให้คำปรึกษาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้คุณได้รับชิ้นงานที่ “ตรงแบบ แข็งแรง และสวยงาม” และความใส่ใจในทุกรายละเอียด ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานจริง

หากคุณกำลังมองหาโรงงานผลิตชิ้นงานโลหะที่คุณสามารถไว้วางใจได้ในคุณภาพ

📞 ติดต่อเราได้เลยที่ www.goldenducksteel.com

Tags: No tags

Add a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *